วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

HP Mini 210 Vivienne Tam Edition


ได้เวลาโบยบินไปในสวนดอกไม้ ปลดปล่อยจินตนาการให้โลดแล่นไปกับ HP Mini 210 Vivienne Tam Edition เปิดตัวครั้งแรกเพื่อเรียกเสียงฮือฮาบนรันเวย์คอลเลคชั่นของดีไซเนอร์ Vivienne Tam นิวยอร์กแฟชั่นวีค ฤดูใบไม้ผลิ 2010 โดยมาพร้อมกับดีไซน์สวยงาม พริ้วไหว สะดุดตา งามสง่าดุจดั่งผีเสื้อโบยบิน โดยสำหรับ HP Mini 210 Vivienne Tam Edition เครื่องนี้ จะมาในดีไซน์ที่มีชื่อว่า “Butterfly Lovers”
สำหรับทางด้านของ Spec นั้น HP Mini 210 เครื่องนี้จะประกอบไปด้วย ฃหน้าจอขนาด 10.1" ความละเอียดมีให้เลือกระหว่าง 1024×600 และ 1366 x 768 pixels, CPU มาจาก Intel ในรุ่น Atom N450 และ N470 ซึ่งมีตัว GPU ในรุ่น GMA 3150 คอยดูแลประสิทธิภาพทางด้านกราฟิกอยู่ในตัว, Hard Drive มีความจุ 2 ขนาด ได้แก่ 250GB และ 320GB, RAM แบบ DDR3 ขนาด 2GB, Battery ขนาด 3-cell และ 6-cell ใช้งานได้ 5.5 และ 11.1 ชั่วโมงตามลำดับ, webcam, ระบบเสียง Beats Audio จาก Dr. Dre, 802.11 WiFi, Bluetooth (optional), ระบบ 3G และ GPS (optional), คีย์บอร์ด ในแบบไอส์แลนด์สไตล์ เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน, Click pad ที่รองรับลักษณะการสัมผัสหลากหลายรูปแบบ (multi-gesture) รวมไปถึง HP TrueVision WebCam ที่มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ จับภาพพิเศษช่วยให้สามารถส่งภาพวิดีโอทางอินเทอร์เน็ตแบบไฮเดฟฟินิชั่นได้สว่าง และคมชัดขึ้นได้แม้ในภาวะแสงน้อย นอกจากนี้ยังมีวอลล์เปเปอร์ลวดลายใหม่ 15 ลาย สุดเอ็กซ์คลูซีฟ จาก 12 ศิลปินชื่อดังระดับโลก เพื่อผู้ใช้งานโน้ตบุ๊ก HPโดยเฉพาะ
สะท้อนแนวคิด “MUSE” (materials, usability, sensory appeal and experiences) ที่ใช้ปรัชญาการออกแบบ ทั้งในด้านตัววัสดุอุปกรณ์ ประสิทธิภาพการใช้งาน อารมณ์ความรู้สึก และประสบการณ์ การใช้งาน มาหลอมรวมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ผสานรวมวัสดุชั้นเยี่ยมซึ่งมีสีของตัวเครื่องเน้นหนักไปที่สีทอง ลวดลายพื้นผิวตัวเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์ ศิลปะการออกแบบลายสลักบนตัวเครื่องโลหะ ที่จะมอบประสบการณ์ให้ผู้ใช้งานได้ประจักษ์ด้วยสายตา ได้ยิน และสามารถสัมผัสได้ถึงเทคโนโลยีล่าสุดได้อย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับราคาวางจำหน่ายจะอยู่ที่ $599.99 หรือประมาณ 19,800 บาท

iPhone 4


ได้เวลาเสียเงินกันอีกแล้ว เมื่อโทรศัพท์มือถือในฝันของใครหลายๆคน ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ บนเวทีในงาน WWDC 2010 นั้นก็คือ iPhone รุ่นใหม่ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “iPhone 4”หลังจากที่ได้มีภาพหลุดออกมาก่อนหน้านี้ และแล้วหน้าตาของ iPhone 4 ก็ออกมาตามที่ภาพออกมา ซึ่งเป็นเครื่องของทางทีมงาน apple ได้ทำตกไว้ในบาร์
สิ่งที่รอกันมานานสำหรับ iPhone 4 ก็คือกล้องด้านหน้า ซึ่งกล้องในเครื่องรุ่นนี้จะมี LED Flash ให้มาครบ โดยความละเอียดตัวกล้องเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านพิกเซล พร้อม Zoom 5 เท่าในแบบ Digital Zoom มี "backside illuminated sensor" สามารถบันทึก HD video ได้ที่โหมด 720p / 30fps หน้าจอทำด้วยวัสดุที่หนาทนต่อรอยขีดข่วน โดยทาง Apple ได้ยืนยันว่าเป็นหน้าจอที่สามารถกันรอยขีดข่วนได้จริงแม้ไม่ติดเทปกันรอย สำหรับการแสดงผลหน้าจออันนี้ก็เด็ดสุดเช่น กันเพราะว่าหน้าจอรุ่นใหม่สามารถแสดงความละเอียดได้ถึง 4 เท่าที่ 960 x 640 พิกเซล 326 pixels per inch ซึ่งทาง Apple เองเรียกการแสดงผลแบบใหม่นี้ว่า Retina Display ที่เรต 326 ppi ซึ่งเหนือกว่าสายตาของคนเราที่จะแยกความแตกต่างในความละเอียดขนาดนี้ได้ ซึ่งจะคล้ายๆกับเครื่อง iPad ที่เป็น IPS display โดยมีคอนทราสที่ 800:1 บนความใหญ่หน้าจอในขนาดเดิมๆที่ 3.5 นิ้ว สำหรับการทำงานตัวเครื่องนั้นจะใช้ Processsor แบบเดียวกับ iPad นั่นก็คือ A4 processor เมื่อเครื่องแรงภาระก็ตกมาอยู่ที่เรื่องแบตเตอรี่อีก สำหรับ iPhone 4 มีการพัฒนาแบตเตอรี่ให้ใช้งานทนทานขึ้นด้วย ระบบ Muti-Touch อัจฉริยะที่ทำให้การควบคุมการใช้งานของ Apple I-Phone 4 ทำได้อย่างคล่องตัว ไม่ว่าจะใช้เล่นเกม , ใช้โปรแกรม , ท่องโลกอินเตอร์เน็ต หรือเปิดดูภาพถ่าย ก็สามารถใช้งานได้ง่ายดายเพียงนิ้วสัมผัสเท่านั้น WiFi ในเครื่องรุ่นนี้จะเป็นแบบ 802.11n อีกด้วยและที่ขาดไม่ได้ เครื่องรุ่นนี้ใช้ Micro SIM ครับ ส่วนระบบปฏิบัติการในเครื่องรุ่นนี้จะเป็น iOS4 หรือชื่อแบบเก่าที่เราเรียกกันก็คือ iPhone OS 4 นั่นเอง ซึ่งทางผู้พัฒนาอาจจะต้องมีการแก้ไขปรับแต่ง App ของตนเองอีกเล็กน้อยเพื่อให้รองรับกับความละเอียดหน้าจอที่ปรับปรุงใหม่
สิ่งที่พิเศษที่เรายังไม่เคยเจอใน iPhone รุ่นเก่าๆอีกเรื่องก็คือ Gyroscope แบบ 3 แกน ซึ่งจะคล้ายๆกับ Accelerometer เป็นฟังค์ชั่นพิเศษช่วยในการจับความเคลื่อนไหวของตัวเครื่องโดยผสมสามอย่าง ระหว่าง Gyroscope / Accelerometer และ Gyroscope / Compass ให้กลายเป็น 6 แกน เพื่อการใช้งานได้มากขึ้นในการจับความเคลื่อนไหวทั้งแนวตั้งและแนวนอนของตัว เครื่อง เช่น เกมส์แปลกๆในอนาคต เป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากว่าเครื่องแบบนี้จะมี Gyroscope ในตัว ซึ่งปกติแล้ว Gyroscope มักจะใช้ในอุปกรณ์ชั้นสูง ตัวอย่างเช่น หากเป็นเฮลิคอปเตอร์บังคับก็จะใช้ในการกันหางอัตโนมัติ หรือหากในวงการทหาร Gyroscope อาจจะถูกใช้ในปากกระบอกปืนรถถัง ที่เป้าไว้ตลอดเวลาขณะรถวิ่งขึ้นๆลงแต่ปากกระบอกจะถูกสั่งงานกันอัตโนมัติ ให้ชี้ตรงนิ่งไว้ที่เป้าหมาย
สำหรับเมืองไทยรอกันอีกไม่นานเพราะได้ข่าววงในมาแล้วว่าประมาณเดือนกรกฏาคมนี้ทางผู้ให้บริการในเมืองไทยก็จะเริ่มเปิดตัวแล้วแต่จะเป็นค่ายไหนนั้นต้องอดใจกันอีกนิด

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Sony α NEX-3 / NEX-5



Sony α NEX-3 / NEX-5
เมื่อกล้องคอมแพคประสิทธิภาพไม่เพียงพอและ DSLR ก็หนักเกินไป ผู้ที่รักการถ่ายภาพทั้งหลาย ท่านกำลังประสบปัญหาเหล่านี้อยู่ใช่หรือไม่ และกำลังคิดค้นการเอากล้องคอมแพคเปลี่ยนเลนส์ได้ใช่หรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่แล้วล่ะก็ เราขอให้ท่านหยุดความคิดและการกระทำเหล่านั้นซะเดี๋ยวนี้ เพราะ SONY ได้ทำให้ความต้องการของท่านเป็นจริงแล้ว
Sony α NEX-3 / NEX-5 กล้องดิจิตอลขนาดเท่ากล้องคอมแพคแต่ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับกล้อง DSLR ความละเอียด 14.2 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ Exmor™ APS HD CMOS แน่นอนว่าสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ใช้เลนส์ของ Sony α ได้ทุกตัว ฟังก์ชั่นการใช้งาน DSLR การปรับ สปีดชัตเตอร์ รูรับแสง ค่าความไวแสง ISO ได้ถูกนำมารวมไว้ให้แล้วแถมยังปรับให้คุณใช้งานง่ายเหมือนกล้องคอมแพค เช่น การถ่ายแบบเบลอฉากหลัง หรือการถ่ายแบบสภาพแสงน้อย ช่วยเพิ่มมุมมองในการถ่ายภาพด้วยหน้าจอที่สามารถปรับก้มเงยได้ ให้คุณสร้างสรรค์ภาพถ่ายของคุณในระดับมืออาชีพเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่ภาพนิ่งเท่านั้น NEX-5 ยังมาพร้อมกับการถ่ายวีดีโอแบบ FULL HD 1080/60i ให้ความคมชัดสมจริง
ดีไซน์โดดเด่นล้ำสมัย ขนาดกะทัดรัด ด้วยแนวคิดการออกแบบ สะท้อนคอนเซ็ปท์ Mirrorless ทำให้กล้อง Sony α NEX-5 เป็นกล้องดิจิตอลแบบเปลี่ยนเลนส์ได้ที่มีขนาดเล็กและเบา ด้วยน้ำหนักเพียง 229 กรัม เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่นักถ่ายภาพเมืออาชีพและนักถ่ายภาพเมือสมัครเล่นพกพาไปได้ทุกที่ทุกเวลา
ใครที่เบื่อกล้องคอมแพคแต่ไม่อยากแบก DSLR ไปหามาติดตัวไว้ได้เลยรับรองไม่ผิดหวังแน่นอน

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Jabra Clipper


โทรศัพท์มือถือที่ออกมาให้ยลโฉมในปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะค่ายไหนฟีเจอร์ที่เป็นมาตรฐานที่ต้องมีเลยก็คือเครื่องเล่นเพลง หูฟังจึงกลายเป็นอุปกรณ์เสริมที่จำเป็นต้องมีติดตัวกันแทบจะทุกคนเลย และทางเจ้าแห่งฟันฟ้า (BlueTooth) Jabra จึงได้ส่งเจ้า CLIPPER มาเป็นคู่ใจคนที่รักการฟังเพลง
วันนี้เลย ขอแนะนำน้องใหม่หูฟังบลูทูธรุ่น “Jabra CLIPPER Wireless Music and Calls ” เป็นชุดหูฟัง บลูทูธสเตอริโอ แบบ Clip โดยมีคุณภาพเสียงที่ดี มาพร้อมชุดหูฟังแบบ In Ear ที่ป้องกันเสียงรบกวนรอบข้างอย่างมีประสิทธิภาพ ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และสามารถถอดเปลี่ยนได้ สามารถสลับระหว่างการเปิดเล่นเพลงและใช้สายอัตโนมัติ ควบคุมการเปิดเล่น/หยุดชั่วคราว ข้ามแทร็ค ปรับระดับเสียงได้จากตัวเครื่อง สนทนาและฟังเพลงต่อเนื่อง 6 ชั่วโมง, เปิดรอรับสายได้นานถึง 192 ชั่วโมง น้ำหนักเบาเพียง 20 กรัม รองรับการใช้งาน A2DP,AVRCP และ HSP,HFP Profile นอกจากนี้ยังเป็นบลูทูธเวอร์ชั่น 2.1 EDR
แค่คุณสมบัติเบื้องต้นก็น่าสนใจมากมายแล้ว ที่นี้เราลองมาดูเรื่องการออกแบบที่ทำออกมาได้โดนใจเหลือเกิน สีดำเรียบ ดีไซเท่ห์ ทำให้รู้สึกได้ว่านี่มันไม่ใช่แค่บลูทูธที่เอาไว้ฟังเพลงได้หรอกนะนี่มันคือเครื่องประดับชิ้นเอกที่ฟังเพลงได้ต่างหาก อย่าว่าแต่เอามาฟังเพลงเลยแค่พกไว้ก็เท่ห์แล้ว สำหรับผู้หลงใหลเสียงเพลง ไม่ควรพลาดการเป็นเจ้าของ น้องใหม่รุ่น “Jabra CLIPPER Wireless Music and Calls” ด้วยประการทั้งปวง

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

SONY VIAO P










เราจะเรียกเจ้าเครื่องนี้ว่าอะไรดีล่ะ? โน้ตบุ๊คหรอ? ดูจะไม่เพียงพอที่จะนิยามให้กับเจ้า VIAO P (VPCP115KG) ตัวนี้แน่นอน เพราะหาคุณได้รู้ว่ามันทำอะไรได้บ้างแล้วคุณจะทึ่ง ด้วยน้ำหนักเพียงแค่ 618 กรัมและขนาดที่สามารถพกใส่กระเป๋าถือของคุณผู้หญิงทั้งหลาย(ใบเล็กที่คุณผู้หญิงทั้งหลายหนีบไว้ที่รักแร้) มันสามารถทำงานได้เหมือนกับโน้ตบุ๊คทั่วไป ดีไซน์สุดเก๋ในแบบ Sony ที่ทำให้คุณอดใจไม่ไหวที่จะนำออกมาถือโชว์ สะดุดตากับ 4 สีโดนใจทั้ง ส้ม ชมพู ขาว ดำ
VIAO P รุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับความสามารถที่โดเด่นเกินกว่าจะเก็บลงกระเป๋าซ่อนไว้ ด้วย Mobile Grip Style มาพร้อมกับ Touch Pad พิเศษและปุ่ม Mouse ที่ด้านข้างจอทั้ง 2 ด้านที่ให้คุณใช้งานง่ายๆเพียงถือ 2 มือ(คล้ายๆการถือเครื่อง PSP) Accelerometerเซ็นเซอร์ที่ตอบสนองการหมุนของจอภาพทั้งแนวตั้งและแนวนอน ซึ่งทำให้ง่ายในการอ่านเอกสาร หรือหน้าเว็บที่เป็นแบบแนวตั้ง และปุ่มเมาส์ที่อยู่ด้านล่างจะกลายเป็นปุ่มเปลี่ยนหน้าให้ทันที เมื่อใช้งานในแนวตั้ง เหมือนคุณถือหนังสืออ่านอยู่ช่วยปรับหน้าจอให้สามารถหมุนหน้าจอได้เพื่ออ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ได้สะดวกโดยการพลิกตัวเครื่อง หรือช่วยให้ backward หรือ forward เว็บเพจได้โดยการเอียงเครื่องไปทางซ้ายหรือขวาเท่านั้น และทัชแพดที่บริเวณขอบจอด้านขวาและปุ่มเมาส์คลิกซ้ายขวาที่ขอบจอด้านซ้าย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานเพียงแค่ขยับข้อมือ ก็สามารถเลื่อนดูรูปถ่าย เปลี่ยนหน้าเอกสาร หรือย้อนกลับไปหน้าเว็บที่ต้องการได้ทันที นอกจากนี้ยังมีปุ่มพิเศษต่างๆ เริ่มด้วยปุ่ม “WEB” สำหรับการเข้าสู่หน้าเว็บได้ทันทีแม้จะปิดเครื่องไปแล้ว โดยไม่ต้องบูทเข้า Windows หรือ ปุ่ม ”ASSIST” ที่กดเพียงครั้งเดียวก็สามารถเข้าสู่โปรแกรม VAIO Care เพื่อทำการตรวจสอบ ดูแลรักษา VAIO ให้พร้อมใช้งานได้ดีอยู่เสมอ ปุ่มสุดท้าย “Resolution Change Button” เพียงกดก็สามารถเปลี่ยนความละเอียดหน้าจอจาก 1600 x 800 เป็น 1280 x 600 เพื่อมุมมองที่สบายตามากขึ้น
ไปลองสัมผัสของจริงที่ Shop Sony กันเลยดีกว่า ว่าเจ้า VIAO P รุ่นใหม่นี้จะทำให้ชาว Shoot it จะ Choose it มาพกติดตัวกันได้ไหม?

ถึงเวลาที่ต้องทำ

หลังจากที่เคยเขียนรีวิวให้กับหนังสือเกี่ยวกับโน้ตบุ๊คเล่มหนึ่งแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่สำหรับตัวเรา แต่แล้วก็ต้องกลับมาเขี่ยนรีวิวและบทความไอทีอีกครั้ง เพราะเป็นอีกอย่างที่เราทำได้ ลองมองย้อนกลับไปถึงความรู้สึกที่เราว่ามันไม่ใช่ นั่งคิดอยู่ว่าทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกอย่างนั้น และแล้วก็ได้รู้ว่าที่รู้สึกว่าไม่ใช้นั้นมันไม่ได้เกิดจากตัวงาน แต่มันเกิดจากสถานที่ทำงาน ที่ทำงานเดิมผมต้องไปตอกบัตรนั่งโต๊ะแล้วก็เขียนงานมันทำให้ผมรู้สึกอึดอัด แต่ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนผมก็เขียนงานของผมได้ ผมจึงรู้สึกว่ามันโอเคมากๆเลย และอีกหนึ่งอย่างที่ผมปฏิเสธมานานก็คือการทำบล๊อกและ Social Network เพราะอะไรนะหรอ ผมเคยมี Hi5 และเห็นการคอมเม้นท์ การแอดเพื่อน การอัพเดทสถานะตัวเอง ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกว่า ทำไมต้องบอกใครๆว่า เราทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร แล้วใครเขาอยากรู้ชีวิตของผมกันล่ะ ผมมีมัลติพลาย ไว้แสดงงานที่ถ่ายมา แต่ก็ไม่ค่อยอัพเดท ขี้เกียจมาก แล้วงานก็ไม่เข้า จนกระทั่งผมเริ่มมองหางานที่ใกล้เคียงกับที่ผมสนใจ REporter
ไงล่ะ ซึ่งปกติ ผมก็ไปงานแถลงข่าวด้านไอทีเกือบทุกวัน แล้วผมก็เขียนได้ จึงเริ่มติดต่อเข้าไปยัง นิยสารต่างๆเพื่อเสนองาน แล้วผมจะเอาอะไรไปเสนอล่ะ แบกหนังสือไปนะหรอ ก็พอไหว แล้วมันมีอะไรที่ดีกว่านั้นไหมล่ะ ที่ทำให้เราดูเป็นคนที่อยู่ในวงการไอทีนะมีไหม นั่งคิดอย่างเซ็งเพราะสถานะการบ้านเมืองทำงานหด แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งจากแดนไกลออนเอ็มพร้อมกับมีลิงค์สีฟ้าๆพ่วงท้ายมา ด้วยอารามที่ไม่มีอะไรทำก็เลยคลิกเข้าไปดูซะหน่อยปรากฏว่ามันเป็นบล๊อกหน้าตาดูเรียบๆ มีเนื้อหาและรูปภาพนิดหน่อย แว๊ปแรกที่เห็นเลยนะ มันโอเคเลย เอาไว้เขียนงาน ให้ลูกค้าดู เลยลงมือสมัครพร้อมกับคิดในใจว่า ทำไมเรานี้ขี้เกียจจังเลย ทั้งๆที่เราก็รู้ว่าเรามีเครื่องมือดีๆแต่ไม่รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์ ก็รู้อยู่แต่ขี้เกียจ
แล้วด้วยสถานะการณ์หรืออะไรก็แล้วแต่ บวกกับการที่ได้ดูบล๊อกของเพื่อน เลยเกิดบล๊อกนี้ขึ้นมา

ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมทำบล๊อกนี้ ขอบคุณเพื่อนแนทที่มีลิงค์มาให้ดู